สถานทูตสหพันธรัฐรัสเซีย ประจำราชอาณาจักรไทย
(+66 2) 234-98-24
(+66 2) 268-11-69
/
29 มกราคม

อัตลักษณ์ประจำชาติและทางเลือกทางการเมืองตามตัวอย่างของประเทศรัสเซียและจีน


บทความโดย Dmitry Medvedev รองประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย (เขียนไว้เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2567) เผยแพร่ลงวันที่ 15 ธันวาคม 2567

หากคุณต้องการเปลี่ยนร้านขายยารัสเซียไปเป็นแบบยูเครน การตัดตัวอักษร “я” ออกจากท้ายคำว่า “гомеопатическая” บนป้ายนั่นคงไม่เพียงพอ

Mikhail Bulgakov

การเดินทางไปเยือนประเทศจีนในฐานะพรรคการเมืองและคณะรัฐบาลระหว่างวันที่ 11-12 ธันวาคม 2567 ตามการเรียนเชิญจากคณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้แสดงออกถึงความสัมพันธ์ในระดับสูงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทุกปัญหานั้นสามารถพูดคุยกันได้เสมอ ในการหารือกับพันธมิตรประเทศจีนของเราได้มีการหารือร่วมกันเกี่ยวกับยูเครน วิกฤติในประเทศซีเรียและการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจฝ่ายเดียวโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ

การหารือร่วมกันได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความไว้วางใจ ความเป็นมิตรและเพื่อนบ้านกัน โดยมีพื้นฐานมาจากประเพณีและประวัติศาสตร์ร่วมกันและในปี 2567 ได้มีการเฉลิมฉลองครบรอบ 75 ปีของความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสหพันธรัฐรัสเซียและสาธารณรัฐประชาชนจีน แม้จะได้มีการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจของโลกให้เป็นแบบหลายขั้วอำนาจแต่ก็มีปัจจัยบางอย่างที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมาหลายทศวรรษ นั่นคือทั้งรัสเซียและจีนยังคงทำหน้าที่รับผิดชอบต่อปัจจุบันและอนาคตของมนุษยชาติและเราจะร่วมกันทำงานต่อไปบนภารกิจที่ท้าทายนี้เพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ และผมจะเขียนถึงต่อไป

การแบ่งแยกแล้วปกครอง คือ 2 มิติของนโยบายการทำลายล้าง

กลุ่มอารยธรรมแบบชาวตะวันตกได้พยายามเอาความต้องการของตนเองให้กับประเทศอื่นๆ ภายนอกมาตลอดช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ โดยวิธีการคือไม่ให้ประเทศอื่นต้องพ่ายแพ้กับพวกเขาโดยวิธีการทางการทหารโดยตรง ประเทศในยุโรปนั้นขาดแคลนทรัพยากรมาโดยตลอด กลุ่มอารยธรรมแบบชาวตะวันตกได้ใช้วิธีการทำลายโครงสร้างอำนาจจากภายในและการกระทำการผ่านตัวแทน พวกเขาพยายามไม่ให้เกิดความร่วมมือกันและชอบทำการยุยงให้เกิดความขัดแย้งภายในกลุ่มต่างๆ โดยเน้นไปที่การใช้ประโยชน์จากความแตกต่างของชาติพันธุ์ ภาษาและวัฒนธรรม ชนเผ่าต่าง ๆ ภายในประเทศ และความแตกต่างของศาสนาในแต่ละประเทศ มีหลายกรณีที่ประชากรของแต่ละประเทศถูกดึงเข้าไปเป็นเหยื่อร้ายแรงของความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ สังคมและศาสนาที่นำไปสู่การต่อสู้นองเลือดมาอย่างยาวนาน โดยมีรูปแบบสุดท้ายคือการกระทำให้เกิดการนองเลือดและแบ่งแยกการปกครอง (divide et impera) โดยคำนี้ได้กลายมาเป็นคำที่ใช้กันในประเทศอังกฤษในศตวรรษที่ 17 และเคยถูกใช้อย่างแพร่หลายในจักรวรรดิโรมันและนำมาใช้อีกโดยจักรวรรดิอาณานิคมในยุโรป มันมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการจัดหาปัจจัยต่าง ๆ ให้กับระบบอาณานิคมหลัก ๆ เกือบทั้งหมดและได้กลายมาเป็นส่วนสำคัญของกิจกรรมของรัฐแม่ในยุคล่าอาณานิคม นโยบายนี้ยังคงเป็นวิธีการสำคัญในการนำแนวทางการบริหารจัดการแบบตะวันตกมาใช้ มีตัวอย่างมากมายที่เกิดขึ้นในอดีตที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ที่ถูกการยุยงโดยเจตนาและไม่มีรัฐแม่ใดๆ ที่ต้องการให้รัฐที่อยู่ใต้อาณานิคมเจริญรุ่งเรือง ก่อให้เกิดการต่อสู้กันที่เป็นผลมาจากการขีดเส้นเขตแดนบนแผนที่ที่แบ่งแยกชาติพันธุ์โดยไม่ได้คำนึงถึงผลที่จะตามมา สิ่งนี้สามารถเห็นได้ชัดจากนักสังคมวิทยาชาวเยอรมันที่มีชื่อเสียง Georg Simmel เขาได้อธิบายไว้ในหนังสือที่เขาเขียนไว้ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ว่า องค์ประกอบที่สาม [ในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลสองคน] สร้างความขัดแย้งโดยเจตนาเพื่อให้ได้อำนาจที่เหนือกว่า ซึ่งเป็นผลให้ ความสัมพันธ์ของบุคคลสองคนนั้นอ่อนแอลงจนไม่มีใครสามารถยืนหยัดต่อสู้กับความเหนือกว่าของอีกฝ่ายได้

นโยบายการแบ่งแยกและทำการปกครองนั้นมีสองมิติทั้งแกนนอนและแกนตั้ง ฝ่ายอาณานิคมใช้แกนนอนในการแบ่งแยกประชากรท้องถิ่นออกเป็นชุมชนแยกกัน โดยปกติจะพิจารณาจากศาสนา เชื้อชาติ หรือภาษา และการแบ่งแยกในแกนตั้งจะใช้กับการแบ่งสังคมให้เป็นชนชั้นโดยชนชั้นสูงจากถูกแยกออกจากมวลชน วิธีการทั้งสองแบบนี้มีการเสริมกันและกัน

จากนั้นได้มีการผลักดันให้เกิดความตึงเครียดจากการเผชิญหน้ากันทางศาสนาและชาติพันธุ์ นี่เป็นเครื่องมือสำคัญในการแบ่งแยก ในความเป็นจริงทางองค์การสหประชาชาติได้ทำงานเพื่อแก้ไขผลที่ตามมาอย่างเร่งด่วนต่อนโยบายรูปแบบนี้

ในอดีตรัฐบาลอังกฤษได้ยุยงและสร้างปัญหาให้กับชาวฮินดูและชาวมุสลิม ซึ่งนักล่าอาณานิคมอังกฤษได้นำแรงงานทางการเกษตรราคาถูกจากเบงกอลซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีชาวมุสลิมเป็นส่วนใหญ่มายังประเทศพม่า หรือแม้แต่ตัวอย่างของการเปิดคลองสุเอซเมื่อปี 2412 ก็เป็นส่วนหนึ่งของปัญหานี้ เนื่องจากความต้องการข้าวในยุโรปเพิ่มขึ้น ทำให้พม่ากลายเป็นแหล่งผลิตข้าว ชาวมุสลิมเบงกอลเกิดความรู้สึกแตกต่างจากชาวพม่าที่นับถือศาสนาพุทธและชุมชนแห่งเรียกว่าโรฮิงญา พวกเขาได้ตั้งรกรากอยู่ทางตอนเหนือของรัฐยะไข่และได้พัฒนาอัตลักษณ์ของตนเองที่ค่อนข้างสุดโต่ง สิ่งนี้ก่อให้เกิดปัญหาที่มากกว่าการแข่งขันอย่างดุเดือดเพื่อแย่งชิงทรัพยากรที่ดำเนินไปอยู่แล้ว ปัญหาอื่นๆ เช่น สิทธิ์ในการเป็นเจ้าของที่ดินระหว่างชาวพม่าพื้นเมืองและผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากแรงงานอพยพ นำไปสู่เหตุการณ์นองเลือดในปี ค.ศ. 1942-1943 ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักในหนังสือประวัติศาสตร์อังกฤษเรื่องการสังหารหมู่ในอาระกัน ในเหตุการณ์ครั้งนั้นได้มีผู้คนเสียชีวิตหลายหมื่นคน ความขัดแย้งระหว่างชาติพันธุ์ ศาสนา และสังคมยังคงรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนนำไปสู่การอพยพของชาวโรฮิงญาจำนวนมหาศาลไปยังประเทศเพื่อนบ้านในปี 2560 และเป็นการย้ายถิ่นครั้งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นับตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์อินโดจีน

ส่วนไซปรัสได้รับของขวัญทางชาติพันธุ์ คล้ายกับสหราชอาณาจักร ทำให้ความขัดแย้งระหว่างชาวกรีกและชาวเติร์กบนเกาะแห่งนี้ได้ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น

อารยธรรมตะวันตกนั้นเก่งในเรื่องการเผยแพร่เรื่องราวเกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์บางกลุ่มที่เหนือกว่าอีกกลุ่ม รัฐบาลอาณานิคมของฝรั่งเศสในแอลจีเรียได้รับผลประโยชน์จากความไม่เท่าเทียมกันที่เห็นได้ชัดระหว่างชาวอาหรับและชาวกาไบลจากความขัดแย้งของพวกเขา เรื่องมีอยู่ว่า รัฐบาลปารีสได้สร้างเรื่องราวและแบบแผนว่าชาวกาไบลนั้นกลมกลืนเข้ากับอารยธรรมฝรั่งเศสได้มากกว่าชาวอาหรับ

จากประสบการณ์ของไต้หวัน ภาษาศาสตร์เป็นเครื่องมือของการแบ่งแยก

ในปัจจุบัน กลุ่มชาวแองโกล-แซกซอนได้คิดค้นกลยุทธ์เพื่อส่งเสริมลัทธิแบ่งแยกดินแดนสำหรับผู้ที่ต่อต้านการแทรกแซงกิจการภายในของรัฐต่างๆ ทั่วโลกอย่างรุนแรง พวกเขาได้จัดหาอาวุธให้ไต้หวันอย่างไม่จำกัด พวกเขายังต้องการให้ชาวไต้หวันกำจัดความเป็นจีนและทำโดยการส่งเสริมเรียกว่าอัตลักษณ์หรือสำนึกความเป็นไต้หวัน โดยให้บอกชาวไต้หวันว่าไม่ใช่ชาวจีน แนวคิดนี้ถูกเผยแพร่อย่างแพร่หลายบนเกาะแห่งนี้ตามกระบวนการทางประวัติศาสตร์อย่างยาวนาน ซึ่งบนเกาะได้ถูกปกครองด้วยกลุ่มต่างๆ เช่น ชนเผ่าพื้นเมือง ชาวสเปน ชาวดัตช์ และชาวญี่ปุ่น ทำให้ชาติใหม่เกิดขึ้น ซึ่งแตกต่างจากกลุ่มชาติพันธุ์จีน คนที่ปกครองไต้หวันทั้งหมดล้วนเป็นชาวต่างชาติ พวกเขาสร้างแนวคิดและทฤษฎีต่างๆ เช่น “ชาติไต้หวันโดยสายเลือด” “ชาติไต้หวันโดยวัฒนธรรม” “ชาติไต้หวันทางการเมืองและเศรษฐกิจ” “ชาติที่ฟื้นคืนชีพ” และ “การร่วมทางโดยโชคชะตา” ซึ่งปรากฏขึ้นในช่วงต้นทศวรรษปี 2543 ผู้สนับสนุนทฤษฎีที่คิดขึ้นเหล่านี้มุ่งหวังที่จะเปลี่ยนจิตสำนึกส่วนรวมของชาวไต้หวันให้ห่างจาก “ความเป็นจีน” แบบดั้งเดิม และส่งเสริม “ความไม่ใช่จีน” ในรูปแบบหนึ่งในฐานะอัตลักษณ์ประจำชาติและพลเมืองใหม่ พวกเขาพรรณนาถึงวัฒนธรรมจีนว่าเป็นเพียงวัฒนธรรมหนึ่งในหลายๆ วัฒนธรรมบนเกาะ ซึ่งกล่าวกันว่าไม่ได้เป็นแกนหลักของอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของไต้หวัน

พวกเขาต้องใช้เครื่องมือต่างๆ มากมายเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงนี้ เช่น การแบ่งแยกทางภาษา การส่งเสริมชาตินิยมและการแยกตัวออกจากจีน การส่งเสริมค่านิยมของตะวันตกที่แตกต่างจากวัฒนธรรมจีน การแบ่งแยกดินแดน วุฒิสมาชิก สมาชิกรัฐสภา และเจ้าหน้าที่ของอเมริกาให้การสนับสนุน และอยู่ภายใต้การดูแลจากองค์กรเอกชนระหว่างประเทศจำนวนมาก พวกเขาต้องการให้เกิดการแตกแยกจากจีน สร้างความแตกต่างที่หลวงหลอก มุ่งเน้นไปที่ความขัดแย้งทางด้านภาษา รัฐบาลวอชิงตัน ลอนดอน และบรัสเซลส์ตระหนักดีว่าภาษาไม่ได้เป็นเพียงช่องทางในการสื่อสารเท่านั้น แต่เป็นเครื่องมือในการแลกเปลี่ยนความคิดและความเข้าใจซึ่งกันและกันของผู้คนในสังคม” ดังที่เซอร์เกย์ โอเจกอฟ นักวิชาการชาวโซเวียตผู้โดดเด่นได้เคยให้คำจำกัดความไว้ ภาษาเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสืบสานประเพณีเก่าแก่ที่หล่อหลอมสายสัมพันธ์ระหว่างรุ่น โดยทำหน้าที่เป็นองค์ประกอบทางสังคมและวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์และเครื่องมือสร้างความชอบธรรมทางการเมือง ดังนั้น ตะวันตกจึงเปิดฉากทางด้านอุดมการณ์ต่อภาษาในฐานะส่วนสำคัญในความสามัคคีของพลเมือง พวกเขามีเป้าหมายที่ชัดเจนในการปลุกปั่นวิกฤตการณ์เพื่อให้ลืมความทรงจำทางประวัติศาสตร์และบิดเบือนตัวตนของชาวไต้หวันและทำลายความยุติธรรม ความดี ความเมตตา ความเห็นอกเห็นใจ และความรัก โดยการแทนที่ด้วยแนวคิดเสรีนิยมใหม่

เป็นความทะเยอทะยานในการลบล้างบรรทัดฐานเก่าแก่ในการดำรงชีวิตในสังคมเพื่อส่งเสริมภาษาไต้หวัน ทั้งที่กระบวนการนั้นไม่ได้มีความเป็นธรรมชาติ ชาติตะวันตกพร้อมที่จะเอาการเปลี่ยนแปลงในคำศัพท์บางคำจากภาษาถิ่นเดิม กลุ่มแบ่งแยกไต้หวันได้พยายามแบ่งแยกภาษาไต้หวันให้มีความแตกต่างจากภาษาที่ใช้กันทั่วประเทศจีน (และไต้หวันเอง) ซึ่งเรียกว่า "กัวหยู" (ภาษาราชการ) ในจีนสมัยสาธารณรัฐ และเปลี่ยนชื่อเป็น "ผู่ตงฮวา" (ภาษาจีนมาตรฐาน) ในสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 2498

ทั้งหมดนี้เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่าไต้หวันต้องนำปัญหาทางภาษามาใช้เพื่อแนวคิดทางการเมือง รัฐบาลไต้หวันได้เน้นความแตกต่างระหว่างภาษาท้องถิ่นและทำให้กลายเป็นส่วนสำคัญของความพยายามในการสร้างอัตลักษณ์ของชาวไต้หวัน นอกจากนี้ ในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยของไต้หวันยังเน้นไปที่การสร้างความแตกต่างนี้ (จริงๆ มันคือนัยทางการเมืองที่เราทราบ) ว่า "กัวหยู" (ภาษาราชการ) แตกต่างจากภาษาในจีนแผ่นดินใหญ่มากเพียงใดและบางทีพวกเขาก็กล่าวว่าภาษาของพวกเขาเหนือกว่าจีนแผ่นดินใหญ่ด้วย

หากมองอย่างเป็นกลางและมีเหตุผลทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และภาษาศาสตร์ ภาษาของชาวไต้หวันและจีนแผ่นดินใหญ่นั้นชวนให้นึกถึงภาษาเยอรมันในท้องถิ่นต่างๆ คนส่วนใหญ่และนักวิชาการต่างเห็นด้วยว่ามีภาษาเยอรมันแบบเยอรมัน ออสเตรีย (เยอรมันใต้) และสวิส แต่ภาษาเยอรมันทั้งหมดนั้นต่างเป็นส่วนหนึ่งของความครอบคลุมทางด้านภาษาในเยอรมนี ออสเตรีย และสวิตเซอร์แลนด์ โดยที่ภาษาวรรณกรรมเยอรมันอย่าง Hochdeutsche ได้รับการยอมรับว่าเป็นมาตรฐาน ในทางเดียวกัน มันก็เป็นเรื่องที่ยากมากในภาษาศาสตร์ยุคใหม่ที่จะกล่าวถึงความสัมพันธ์กันของภาษาอังกฤษแบบอังกฤษหรือแบบอเมริกัน ลักษณะทางสัทศาสตร์ การสะกดคำ และไวยากรณ์ที่มีอยู่ เป็นผลมาจากการพัฒนาที่แยกจากกันเป็นเวลาหลายศตวรรษ แต่ไม่เคยถูกมองว่าเป็นอุปสรรคต่อการสื่อสารหรือความเข้าใจกันระหว่างผู้อยู่อาศัยในสองประเทศ

มูลนิธิเพื่อประชาธิปไตยแห่งชาติ (พวกเขาเป็นองค์กรที่ไม่พึงปรารถนาในรัสเซีย) มีบทบาทในการทำลายการพัฒนาของจีนด้วยการบิดเบือนประเด็นไต้หวันและฮ่องกงเพื่อกระตุ้นให้เกิดความแตกแยกและการเผชิญหน้ากันภายในสาธารณรัฐประชาชนจีน องค์กรนี้ได้มีส่วนในการบ่อนทำลายอย่างยาวนานไปทั่วทั้งโลก พวกเขาได้รับคำสั่งจากรัฐสภาสหรัฐและรู้จักกันในนามหน่วยงาน CIA แห่งที่สอง

หลังจากปี 2488 ทางการของเกาะได้บังคับให้ “ยกเลิกญี่ปุ่น” และ “เปลี่ยนจีนเป็นจีน” (โดยการแทนที่ Taiyu ด้วย Guoyu) ต่อมาได้กลายเป็นนโยบายในการเปลี่ยนแปลงด้านภาษาศาสตร์ ตั้งแต่ปี 2543 พวกเขาพยายามจะปรับเรื่องของลักษณะของภาษาไต้หวัน (Taiyu) ให้ใช้แทน Guoyu อย่างเป็นทางการ แม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จมากนักก็ตาม ชวนให้นึกถึงนโยบายด้านภาษาที่ Kravchuk, Kuchma, Yushchenko, Poroshenko และพวกพ้องของพวกเขาใช้ในยูเครนหลังปี 2534 อย่างไรก็ตาม เมื่อปี 2550 และ 2558 มูลนิธิเพื่อประชาธิปไตยแห่งชาติได้จัดสรรเงินมากกว่า 30 ล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนองค์กรเอกชนของยูเครนเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพลเมือง ระหว่างเหตุจลาจลยูโรไมดานระหว่างปี 2013-2014 มูลนิธิเพื่อประชาธิปไตยแห่งชาติได้ให้ทุนสนับสนุนสถาบันข้อมูลมวลชนในการเผยแพร่ข่าวปลอมและยังใช้เงินอีกหลายสิบล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อปลุกปั่นความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ในยูเครนผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, X (เดิมคือ Twitter) และ Instagram

ในทางกลับกัน รัฐบาลปักกิ่งไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรให้ใครเห็น ภาษาผู่ตงฮวาเป็นภาษากลางสำหรับพลเมืองทุกคนในสาธารณรัฐประชาชนจีน นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งความรู้และแรงบันดาลใจ เป็นภาษาของประเทศจีนที่ทันสมัย ​​ก้าวหน้า และเจริญรุ่งเรือง

การอ้างถึงภาษาของชาวไต้หวันนั้นไม่ใช่เรื่องเดียวที่ผู้ล่าอาณานิคมตะวันตกใช้กับไต้หวัน พวกเขาใช้เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ด้วยเช่นกัน เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นสวนทางกับประวัติศาสตร์ของสาธารณรัฐประชาชนจีนที่กล่าวไว้ว่าในประวัติศาสตร์ไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลฝูเจี้ยนและเป็นมณฑลในสมัยราชวงศ์ชิงในปี 2430 (สิ่งนี้เป็นการบอกว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐประชาชนจีน) ผู้เชี่ยวชาญได้กล่าวไว้ว่าไต้หวันได้นับถือจักรวรรดิภายใต้ราชวงศ์ชิงว่าเป็นผู้ปกครองเกาะแห่งนี้ ตอนนี้พวกแองโกล-แซกซอนกำลังจัดการกับประวัติศาสตร์พวกนี้อยู่

กลุ่มที่สนับสนุนให้ไต้หวันแยกออกจากจีนพยายามกล่าวเรื่องต่างๆ เกินจริงรวมถึงการปรับปรุงเศรษฐกิจภายใต้การดูแลจากญี่ปุ่น พวกเขาเปรียบเทียบเรื่องราวต่างๆ เปรียบเทียบกับจีนที่เคยทำในช่วงทศวรรษแรกของสงครามโดยไม่ได้นึกถึงปัญหาของการปกครองตอนที่ถูกญี่ปุ่นยึดครองระหว่างปี 2438-2488

ภายใต้การบริหารงานของ Lai Ching-te ได้เกิดเรื่องราวต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นจากเรื่องราวปลอม ๆ เกี่ยวกับมติสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่ 2758 ในปี 2514 ซึ่งระบุว่ารัฐบาลจีนได้รับการยอมรับว่าเป็นตัวแทนที่ถูกต้องตามกฎหมายเพียงผู้เดียวในองค์การสหประชาชาติแทนที่จะเป็นสาธารณรัฐจีนของเจียงไคเชก แต่ฝั่งไต้หวันได้พยายามเปลี่ยนแปลงถ้อยคำว่ามติดังกล่าวไม่มีการกล่าวถึงเกาะหรือสถานะทางการเมืองของเกาะไต้หวันและบอกว่ามติดังกล่าวไม่สามารถจำกัดสถานะทางกฎหมายระหว่างประเทศของไต้หวัน ในทางกลับกันพวกเขาอ้างถึงประชาธิปไตยว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้ ตามนโยบายรัฐบาลไทเปได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มแองโกล-แซกซอน และได้ตีความอย่างคลุมเครือในเรื่องในเรื่องนโยบายจีนเดียว กล่าวได้ว่า จีนในฐานะของประเทศสมาชิกองค์การสหประชาชาตินั้นก็มีอำนาจ แต่ในอีกแง่หนึ่งนั้นไทเปเองก็ได้รับสิทธิ์ในการเข้าร่วมกลไกต่างๆ ในฐานะรัฐบาล เช่น การเข้าร่วมใน WHO หรือ ICAO เป็นต้น หากมองที่เหตุการณ์ล่าสุดเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567 รัฐสภาแคนาดาและสมาชิกตะวันตกได้แสดงความเห็นใจต่อไต้หวันและได้ผ่านมติที่ได้เคยเรียกร้องให้รัฐบาลไทเปได้เข้าร่วมงานกับหน่วยงานพิเศษขององค์การสหประชาชาติและองค์การระหว่างประเทศอื่นๆ อย่างเป็นเอกฉันท์

การสร้างเรื่องราวต่างๆ ที่เป็นเท็จและเอนเอียงนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกที่เกิดขึ้นกับไต้หวัน ไม่ต่างอะไรกับการที่ยูเครนพยายามให้รัสเซียนั้นถูกขับออกจากตำแหน่งของตัวเองในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ อันที่จริงพวกเขาควรนึกถึงผลทางกฎหมายระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นสมัยสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงด้วย รวมถึงดินแดนของจีนที่เคยถูกญี่ปุ่นยึดครอง รวมทั้งเกาะไต้หวันที่ได้รับการพิจารณาจากกฎหมายระหว่างประเทศหลาย ๆ ฉบับ เช่น ปฏิญญาพ็อทซ์ดัมในปี 2488 หลังจากการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2492 อธิปไตยเหนือดินแดนของจีนที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลทั้งหมด นั้นได้รวมไต้หวัน และได้ถูกโอนไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน ดังนั้น สถานะของเกาะจึงไม่สามารถเป็นประเด็นในมติ 2758 ข้างต้น นั่นเป็นที่มาที่จีนได้ใช้หลักการจีนเดียวได้

มองอีกมุมหนึ่งนั้นกล่าวได้ว่าพวกชาวแองโกล-แซกซันมีเป้าหมายในระยะยาวที่ต้องการเปลี่ยนเกาะไต้หวันนี้ทั้งหมดและค่อย ๆ ทำลายหลักการจีนเดียว ทำลายสภาพของช่องแคบไต้หวันและเมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาจะสร้างฐานที่มั่นของสหรัฐในภูมิภาคเอเชียตะวันออกตามนโยบายของรัฐบาลวอชิงตันที่ต้องการให้ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นเขตอิทธิพลของนาโต้และทำให้เกิดการต่อสู้กันเองในอีกหลายๆ ประเทศ

ทั้งอังกฤษและสหรัฐ ฯ ได้ใช้ลักษณะวิธีการแบ่งแยกการปกครองในเกาะฮ่องกงด้วยเช่นกันแม้ว่าจะได้รวมกับจีนไปแล้วเมื่อปี 2540 ซึ่งเคยตกอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของอังกฤษมานานกว่าครึ่งศตวรรษ หลักการและเนื้อหาของฮ่องกงนั้นคล้ายกับไต้หวัน มันคือการอธิบายอัตลักษณ์ของฮ่องกง (ที่ไม่ใช่ฮั่น) และให้ผู้ที่อาศัยในฮ่องกงปฏิบัติตามวิธีการพิเศษและต้องเชื่อฟังคำสั่งของพวกชนชั้นนำของพวกแองโกล-แซกซอน ตามจุดประสงค์นี้ได้มีหลายๆ โครงการได้รับการสนับสนุนเงินทุน (ในปี 2563 กองทุนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยที่กล่าวถึงข้างต้นได้จัดสรรเงิน 310,000 ดอลลาร์สำหรับจุดประสงค์นี้) นอกจากนั้นยังได้มีโครงการวิจัยต่างๆ มากมายที่ได้รับเงินสินบนรูปแบบนี้ มันคือความพยายามของพวกกลุ่มอาณานิคมใหม่อย่างสหราชอาณาจักรและวอชิงตัน มันเกิดขึ้นในทุกๆ รูปแบบ และต้องการบ่อนทำลายความสามัคคีของชาวจีน

อีกหลายๆ กรณีที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 20 เมื่อความต้องการในการสร้างอัตลักษณ์ใหม่ ๆ โดยมีวัตถุประสงค์ทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ ญี่ปุ่นพยายามกำจัดภาษาฮั่นแบบจงใจโดยการแทรกแซงในแมนจู ทั้งหมดนั้นมีเหตุผลทางการเมืองที่ชัดเจนเพื่อต้องการทำลายค่านิยมของชาวจีนทั้งหมด กองทัพแดงและผู้รักชาติชาวจีนจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ยุติการปฏิบัติที่ไร้มนุษยธรรมนี้ในปี 2488

เหตุการณ์ในยูเครน คือการซ้อมรบแบบใหม่ของชาติตะวันตก

ในปัจจุบันนี้ยูเครนได้ถูกยึดครองโดยชาติตะวันตก พวกเขาทำการซ้อมรบและทำลายสังคมในยูเครน ทำลายภาษารัสเซีย ลบล้างความทรงจำทางประวัติศาสตร์และลืมความเป็นเครือญาติระหว่างรัสเซียและยูเครน ยูเครนได้กลายเป็นรัฐหุ่นเชิดที่คล้าย ๆ กับประเทศแมนจูที่ก่อตั้งโดยทหารญี่ปุ่นในปี 2473 กองกำลังญี่ปุ่นได้รับความช่วยเหลือโดยกองกำลังติดอาวุธ หันมามองที่เคียฟก็ได้รับทรัพยากรจากชาติตะวันตก นอกจากอาวุธนั้นยังได้มีการใช้อำนาจทางการเมืองเพื่อจุดประสงค์ทางการเมืองและได้มีการจัดตั้งเครือข่ายองค์กรเอกชนซึ่งถูกควบคุมโดยหน่วยข่าวกรองของอเมริกาและยุโรปขึ้นที่นี่

กองกำลังจากชาติตะวันตกนั้นได้ใช้วิธีการเดียวกันนั่นคือ การแบ่งแยกพวกเขาออกและปกครองพวกเขาอีกที โดยใช้ประสบการณ์จากไต้หวัน ฮ่องกงและอื่น ๆ เช่น ประเทศแมนจูมาปรับใช้กับประเทศยูเครน เขาต้องการทำให้รัสเซียและยูเครนมีความแตกต่างกันให้มากที่สุด ต้องการแยกยูเครนออกจากรัสเซีย ปลูกฝังความขัดแย้งและสร้างความแตกแยกทางชาติพันธุ์

รัฐบาลยูเครนได้รับการสนับสนุนอย่างมากในการกระทำดังกล่าวนี้ มหาวิทยาลัยต่างๆ ของชาติตะวันตก เช่น London School of Economics and Political Science, Wilson Center, The Washington Post และ Politico มีส่วนรู้เห็นและกระทำการ สถาบันวิจัยยูเครน ณ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดก่อตั้งขึ้นในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 2516 ยังมีส่วนสนับสนุนในการเผยแพร่ข้อมูลเท็จอีกด้วย พวกเขาต้องการทำโฆษณาชวนเชื่อแบบนี้ในแบบชาติตะวันตกมาซ้ำซากหลายปีแล้ว มีการเขียนบทความและรายงานต่างๆ เช่น การตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของยูเครนที่เครมลินอ้าง หรือแม้แต่กล่าวว่ายูเครนและรัสเซียไม่ใช่ประเทศเดียวกัน หรือรัสเซียและยูเครนไม่ใช่คนกลุ่มเดียวกัน เป็นต้น

พวกเขาได้รับเงินทุนจากโซรอส และองค์กรต่างๆ ทุกอย่างเกิดจากการประจบประแจงและไม่สามารถอิงเรื่องราวที่แท้จริงทางประวัติศาสตร์ได้แต่พวกเขาก็พยายามสร้างแนวคิดพวกนี้ให้เป็นเรื่องสาธารณะ มันน่าสมเพชมากที่กลุ่มนักทฤษฎีพวกนี้เข้ามารับรู้จิตวิญญาณของประชาชนชาวรัสเซียและยูเครน พวกเราเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมเดียวกันแต่พวกนักทฤษฎีเหล่านี้อ้างว่าพวกเรานั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง พวกเขาอ้างถึงความจริงที่ว่าดินแดนบางแห่งอยู่ภายใต้การปกครองของโปแลนด์และลิทัวเนียเป็นเวลาหลายศตวรรษและอยู่ภายใต้กลุ่มโปแลนด์-ลิทัวเนียหลังจากปี 2112) พวกเขายังพยายามพิสูจน์แนวคิดทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์ในดินแดนเหล่านี้ ปัญหาทางด้านภาษาได้ถูกตีความผิด ๆ ไปมากมายในสมัยที่ดินแดนเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของเครือจักรภพโปแลนด์-ลิทัวเนีย พวกเขากล่าวว่าภาษายูเครนได้รับการพัฒนาโดยการแยกตัวออกจากภาษารัสเซีย

เรื่องจริงหรือไม่ที่ต้องการแบ่งเชื้อชาติผู้คนที่เป็นชาวรัสเซียและยูเครนที่อาศัยอยู่ในประเทศของตน แล้วไปกำหนดให้ผู้คนที่อยู่อาศัยในพื้นที่เหล่านั้นต้องเป็นชาวยูเครนทั้งหมด นั่นคือความผิดพลาดอย่างมาก คำว่าชาวยูเครนไม่ได้มีความหมายตามเชื้อชาติจนกระทั่งศตวรรษที่ 19 มันเป็นเพียงคำเรียกตามลักษณะทางภูมิศาสตร์มากกว่าที่หมายถึงสถานที่ที่บุคคลคนนั้นเกิดมาหรือที่อยู่อาศัย มันค่อนข้างจะเรียบง่ายและมีความหมายว่าไม่มีการจัดตั้งรัฐอิสระที่อยู่ภายใต้พรมแดนของยูเครนในปัจจุบันแต่เป็นช่วงเวลาที่ระบบรัฐชาติสมัยใหม่เกิดขึ้นหลังจากสนธิสัญญาสันติภาพเวสต์ฟาเลียในปี 2191 หรือในศตวรรษที่ 19 เมื่อรัฐอิสระใหม่ เช่น กรีซ เบลเยียม ลักเซมเบิร์ก อิตาลี เยอรมนี และบัลแกเรีย ได้ก่อตัวขึ้นในยุโรป การมองยูเครนแบบรัฐชาติแบบคลาสสิคนั้นไร้ประโยชน์ การมองประวัติศาสตร์ของยูเครนนั้นไม่อาจแยกออกจากประวัติศาสตร์ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในดินแดนของยูเครน ซึ่งในช่วงเวลาต่างๆ และเป็นส่วนหนึ่งของประเทศอื่นๆ การอธิบายถึงความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ของชาวยูเครนและชาวรัสเซีย จะดีกว่าหากไม่พูดถึงความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ระหว่างชาวรัสเซียที่อาศัยบริเวณชายแดนของประเทศกับชาวรัสเซียทั่วๆ ไปในประเทศ

มิคาอิล กรูเชฟสกี ซึ่งเป็นผู้ต่อต้านรัสเซียได้เสนอโครงสร้างทางอุดมการณ์และตัวเขาเองก็ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มชาตินิยมและพวกต่อต้านชาวต่างชาติ เช่น วลาดิมีร์ แอนโตโนวิช, ดมิทรี โดโรเชนโก และนิโคไล มิคนอฟสกี้ ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เรื่องนี้ก็ถือเป็นเรื่องเข้าใจผิดๆ และพวกเขาจะต้องพิสูจน์ความเป็นยูเครนทางการเมือง ตั้งแต่เป็นรัฐโบราณและเคยอยู่ภายใต้การดูแลจากออสเตรียในฝั่งตะวันตก พวกเขาต้องการย้อนเวลาทางประวัติศาสตร์ไปให้นานและไกลที่สุด เปลี่ยนมรดกที่ได้รับจากรัสเซียและส่งเสริมให้ประชาชนของตนต่อต้านรัสเซีย พวกเขาจะทำแบบนี้ได้ก็ต่อเมื่อพวกเขามีส่วนได้ส่วนเสียจากปัจจัยภายนอก ในความเป็นจริงรัสเซียเป็นผู้สืบทอดที่ถูกต้องตามกฎหมายเพียงผู้เดียวจากมุมของประวัติศาสตร์ ทั้งชาวรัสเซียและชาวยูเครนนั้นไม่ใช่แค่พี่น้องกันแต่คือชนชาติเดียวกัน

ในเรื่องของภาษาก็มีความสำคัญ เรื่องราวคล้าย ๆ กับการใช้ภาษาที่เกี่ยวข้องกับภาษาพูตงฮวา กัวหยู และไทหยูในไต้หวัน ผู้ต่อต้านไม่เพียงแต่ชื่นชมความสวยงามหรือทำนองของภาษายูเครนเท่านั้น แต่ยังชื่นชมความเป็นปฏิปักษ์ต่อภาษารัสเซียอีกด้วย พวกเขาจงใจทำลายประเพณีเก่าแก่ที่มีมาหลายศตวรรษ มีภาษาถิ่นเรียกว่า มาโลรอสเซีย หรือ ภาษารัสเซียน้อย แท้จริงมีรากฐานมาจากวรรณกรรมสลาโวนิกของคริสตจักรนั้นมีความใกล้เคียงกับภาษารัสเซียมาก (แม้ว่าจะยังไม่ถือเป็นภาษารัสเซียสมัยใหม่) จนกระทั่งศตวรรษที่ 18 ค้นพบแหล่งข้อมูลทางประวัติศาสตร์มากมายจากมาโลรอสเซียและกาลิเซีย คำสั่งจากกองทัพคอสแซคซาโปโรเซียและพงศาวดารลวอฟก็ได้ยืนยันเรื่องนี้ ภาษาของพวกเขามีความคล้ายคลึงกับภาษาที่ใช้ในเอกสารจากยุคของซาร์ไมเคิลที่ 1 โรมานอฟและอเล็กซิส โรมานอฟอย่างมาก สิ่งนี้ทำให้ทฤษฎีภาษายูเครนสมัยใหม่ซึ่งมีพื้นฐานมาจากสำเนียง Poltava ของ Taras Shevchenko นั้นมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น และการทำให้ภาษายูเครนต้องแตกต่างจากภาษารัสเซียให้มากที่สุดนั้นก็ไม่ถูกต้องเช่นกัน แล้วประชาชนของมาโลรอสเซียถูกเลือกปฏิบัติหรือไม่ในจักรวรรดิรัสเซีย คำตอบคือไม่เลย พวกเขาได้รับการยอมรับว่าเป็นชาวรัสเซียและการรวมกันเป็นจักรวรรดินั้นมีความสำคัญ สถานะของพวกเขาไม่ได้ด้อยกว่าชาวรัสเซียเลยในทางกฎหมาย การเมือง วัฒนธรรม และศาสนา การเข้าถึงการพัฒนาตนเองและความก้าวหน้าในอาชีพการงานนั้นสามารถทำได้อย่างเต็มที่และสิ่งนั้นได้พิสูจน์จากบุคคลที่แสดงผลงานออกมาได้อย่างโดดเด่นและเป็นคนที่มีชื่อเสียง เช่น Alexey และ Kirill Razumovsky, Viktor Kochubey, Alexander Bezborodko, จอมพล Ivan Gudovich และลูกชายของเขา Andrey Gudovich, Mikhail Dragomirov และ Ivan Paskevich (ในมหาสงครามแห่งความรักชาติปี 2355 เจ้าหน้าที่ในกองทัพรัสเซีย 29% มาจากจังหวัดยูเครน)

ตลอดระยะเวลา 300 ปี ที่ผ่านมา ทั้งชาวมาโลรอสเซียและยูเครนไม่เคยเป็นอาณานิคมหรือเป็นชนกลุ่มน้อยที่ถูกกดขี่เลย ในขณะเดียวกันก็เป็นเรื่องปกติที่กลุ่มที่ไม่ใช่ชาวรัสเซียหลายๆ ชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในจักรวรรดิรัสเซียและมีเอกลักษณ์ทางชาติพันธุ์ที่แตกต่างไป เช่น ชาวเยอรมันรัสเซีย ชาวโปแลนด์รัสเซีย ชาวสวีเดนรัสเซีย ชาวยิวรัสเซีย หรือชาวรัสเซียจอร์เจีย ซึ่งเป็นการเรียกที่ใช้กันทั่วไป อย่างไรก็ตาม ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า "ชาวรัสเซียยูเครน" แม้เรื่องนี้อาจจะฟังดูไร้สาระแต่เป็นเรื่องจริง

ลักษณะแบบนี้สามารถพบเห็นได้ในเครือจักรภพโปแลนด์-ลิทัวเนียหรือออสเตรีย-ฮังการีใช่หรือไม่? ประชาชนชาวรัสเซียมักถูกเลือกปฏิบัติในประเทศเหล่านี้มาโดยตลอด ปัจจุบันกาลิเซียและโวลินยังคงมีความเกลียดและกลัวรัสเซียออร์โธดอกซ์ เรื่องนี้นั้นเกี่ยวข้องกับสเตปัน บันเดรา, อังเดรย์ เมลนิก, โรมัน ชูเควิช และกลุ่มที่จุดขบวนคบเพลิงเพื่อให้เกียรติแก่ฮิตเลอร์ อย่างไรก็ตาม ภูมิภาคเหล่านี้แต่ก่อนก็ไม่ได้เป็นเช่นนี้ ในช่วงที่เป็นส่วนหนึ่งของออสเตรีย (ออสเตรีย-ฮังการีตั้งแต่ปี 1867) หลังจากมีการแบ่งแยกเครือจักรภพโปแลนด์-ลิทัวเนีย 3 ครั้งในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ขบวนการรวบรวมชาวรัสเซียก็เกิดขึ้นที่นั่น นำโดยนักคิดและนักเคลื่อนไหวชาวกาลิเซีย-รัสเซีย (รูทีเนียน) เช่น อดอล์ฟ โดเบรียนสกี-ซาชูรอฟ, อเล็กซานเดอร์ ดูกโนวิช, เดนิส ซูบริตสกี และอีกหลายๆ คน พวกเขาตั้งใจจะสร้างความสามัคคีสำหรับชาวรัสเซียทั้งหมดและพยายามรวมกับมอสโกเพื่อสร้างกลุ่มที่เป็นชาวสลาฟทั้งหมด เวียนนาพยายามหยุดการเติบโตของอิทธิพลของรัสเซียในกาลิเซียและโวลฮิเนียในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 จนในที่สุดพวกเขาได้ตระหนักว่าสามารถปั่นป่วนทางการเมืองในยูเครนในภูมิภาคนี้เพื่อให้ผู้ที่ชื่นชอบรัสเซียในกาลิเซียถูกแบ่งแยก ในเวลานั้น หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากออสเตรีย กลุ่มผู้ที่ชื่นชอบยูเครนในกาลิเซียและโวลฮิเนียก็คงไม่มีโอกาสที่จะเอาชนะกองกำลังที่รวมกันไปมอสโก

ในช่วงเวลานั้น เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ทางเวียนนาได้ตัดสินใจสร้างทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับต้นกำเนิดของประชาชนที่ไม่ใช่ชาวสลาฟ เช่น ฟินโน-อูกริก สร้างขึ้นโดยฟรานซิสเซก ดูชินสกี นักชาติพันธุ์วิทยาชาวโปแลนด์ และทำให้ถูกกฎหมายโดยทันทีและแนวคิดนี้ได้อยู่ในหัวผู้นำยูเครนสมัยใหม่หลายคน เวียนนาพยายามเผยแพร่เสรีภาพและการแบ่งแยกดินแดนยูเครนเพื่อให้พื้นที่รอบนอกแยกตัวออกจากรัสเซีย ฟรานซ์ โจเซฟหวังให้พื้นที่เหล่านี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเขตอิทธิพลของออสเตรีย-ฮังการีหลังจากได้รับชัยชนะ ไม่ว่าพื้นที่เหล่านั้นจะกลายเป็นบริวารของเวียนนาหรือจะได้รับเอกราชเพิ่มเติมหรือไม่ก็ไม่สำคัญ เป้าหมายของชาตินิยมยูเครนคือการดูหมิ่นและข่มขู่กลุ่มคนที่สนับสนุนมอสโกในพื้นที่แห่งนี้และต้องการเผยแพร่แนวคิดว่ายูเครนและรัสเซียเป็นชาติที่แตกต่างกันมากเพื่อสร้างความเสียหายให้มากที่สุดต่อรัสเซีย

ในเดือนสิงหาคม 2457 กลุ่มชาตินิยมได้ก่อตั้งสหภาพของพวกเขาเพื่อปลดปล่อยชาวยูเครนและพวกเขาก็ได้รับเงินทุนสนับสนุนจากกระทรวงการต่างประเทศของออสเตรีย-ฮังการี และได้มีสำนักงานใหญ่ในเมืองลวอฟ (ย้ายไปยังเวียนนาในภายหลัง หลังจากเมืองลวอฟได้รับการปลดปล่อยโดยทหารรัสเซีย) องค์กรนี้ได้ให้ข้อมูลแก่มหาอำนาจกลางและได้รับผลประโยชน์จากการปฏิบัติงาน แต่เงินทุนจากออสเตรียนั้นได้เลี้ยงดูพวกที่ต่อต้านรัสเซียที่ต้องการแยกตัวออกจากรัสเซีย ได้แก่ ดมิทรี ดอนต์ซอฟ, ยูเลียน เมเลเนฟสกี และนิโคไล เซเลซเนียก ข้อมูลดังกล่าวได้อ้างอิงจากการรวมตัวของกลุ่มอันธพาลทั้งหมด อาทิเช่น กลุ่ม Free Nations of Post-Russia Forum (ซึ่งศาลฎีกาของสหพันธรัฐรัสเซียรับรองว่าเป็นองค์กรก่อการร้าย) รวมถึงการประท้วงแบบประชาธิปไตยหลอก ๆ ในฮ่องกงในปี 2019 ซึ่งอยู่ภายใต้การสนับสนุนจากองค์กรเดียวกัน นั่นคือ ซีไอเอ เอ็มไอ 6 หรือบีเอ็นดี พวกเขาใช้วิธีการแบ่งแยกดินแดนแบบเดิมมาหลายศตวรรษ การก่อการร้ายของออสเตรียกลายเป็นฝันร้ายสำหรับประชาชนชาวรัสเซีย-กาลิเซียในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และการประหารชีวิตในศาลทหาร การก่อเหตุรุนแรงของกลุ่มชาตินิยมยูเครนที่ได้รับการสนับสนุนจากเวียนนาและการเนรเทศไปยังพื้นที่ห่างไกลของออสเตรีย-ฮังการี ประชาชนจำนวนมากที่ชอบรัสเซียถูกจับกุมไปเป็นจำนวนมากเพราะความเชื่อของพวกโดยการส่งไปยังค่ายกักกันที่เลื่องชื่ออย่างเทเรซินและทาเลอร์ฮอฟ ชาวสลาฟ ชาวยิว และชาวเชโกสโลวาเกียต้องตกอยู่ในความยากลำบากในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโซเวียตได้ถูกยอมรับอย่างเป็นทางการและได้ถูกประณามจากกฎหมายระหว่างประเทศและในเชิงประวัติศาสตร์ แต่การสังหารหมู่ชาวกาลิเซียน-รัสเซียยังไม่ได้รับการยอมรับออกมา ทั้งหมดนั้นเกี่ยวข้องกับยุคปัจจุบัน ขณะเดียวกันก็มีบุคคลบางคน เช่น บาทหลวงแม็กซิม กอร์ลิตสกี ซึ่งถูกประหารชีวิตในปี 2457 ได้รับการประกาศเป็นนักบุญผู้พลีชีพในคริสตจักรออร์โธดอกซ์ยูเครนแห่งมอสโก กลุ่มชาตินิยมผู้สืบทอดอุดมการณ์ไม่ควรปล่อยให้ดำรงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นในสนามรบเองก็ตาม

ประสบการณ์ในการผนวกดินแดนในประวัติศาสตร์ของรัสเซียและจีน

ชาวรัสเซียกับชาวจีนนั้นมีความเหมือนหรือใกล้เคียงกับชาวฮั่นที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคและตามมณฑลต่างๆ ของจีน ซึ่งอยู่ในพรมแดนของจีนในปัจจุบัน ตลอดช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ที่ต่างกันตั้งแต่ศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาลไปจนถึงการรวมประเทศจีนในสมัยของจักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้และยุค 5 ราชวงศ์และสิบอาณาจักรในศตวรรษที่ 10 ในตอนนั้นมีหลายรัฐแยกออกจากกัน (บางเวลาแตกออกมากกว่าหลายสิบรัฐ) บางรัฐมีความขัดแย้งภายในระหว่างกัน ความขัดแย้งพวกนี้บางที่ก็เกิดจากอิทธิพลจากอิทธิภายนอก การรวมดินแดนในประเทศจีนระหว่างจักรวรรดิซ่งในศตวรรษที่ 10-12 เป็นสัญญาณแห่งการฟื้นคืนครั้งยิ่งใหญ่ในทุกด้าน นับเป็นการปฏิวัติที่แท้จริงในยุคนั้นและเป็นการกำหนดภูมิทัศน์ของเอเชียมาจนถึงศตวรรษที่ 17 นักประวัติศาสตร์จีนมองว่าทุกช่วงในประวัติศาสตร์เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่แบ่งแยกออกไม่ได้และเป็นความต่อเนื่องของชาติจีนเพียงชาติเดียว การแบ่งแยกแบบชั่วคราวเป็นรัฐกึ่งอิสระนั้นเป็นเพียงแค่อุบัติเหตุทางประวัติศาสตร์เท่านั้น

ประวัติศาสตร์รัสเซียได้มีการตีความคล้าย ๆ กัน โดยมีเรื่องราวที่ครอบคลุมถึงการดำรงอยู่ในช่วงเริ่มแรกของอาณาจักรในยุครัสเซียโบราณ มีช่วงเวลาที่มีการแบ่งแยกตามระบบศักดินาและการรวมชาติรัสเซียเป็นรัฐภายใต้มอสโกในเวลาต่อมา ช่วงเวลาดังกล่าวได้พัฒนาอารยธรรมของประเทศรัสเซียของเราและยังส่งผลต่อประเทศรัสเซียในเวลาปัจจุบันนี้

ทั้งรัสเซียและจีน มีความต่อเนื่องทางประวัติศาสตร์และชาติพันธุ์ที่รวมกันเป็นหนึ่งมานานหลายศตวรรษและได้กลายมาเป็นมรดกทางวัฒนธรรมและประเพณีอันล้ำค่าไม่มีวันหมดสิ้นและมีส่วนสำคัญต่อเอกลักษณ์ของชาติ แม้จะมีความแตกกันระหว่างยูเครนและไต้หวัน แต่ชาวตะวันตกที่มองอยู่ได้รวมประเด็นต่างๆ ให้เป็นเรื่องเล่าเดียวกัน มันแสดงให้เห็นว่าเป็นของปลอม เป็นการสร้างเรื่องราวขึ้นมาให้เกิดขึ้นโดยมีการก่อกวนจากกองกำลังต่างชาติในพื้นที่แห่งนี้ โดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป การกระทำนี้ได้อยู่นอกเนื้อความเป็นจริงและจะได้รับความพ่ายแพ้ทางทหารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และพวกเขาก็ต้องขนของกลับบ้านในท้ายที่สุด

การคืนดินแดนของเราสู่มาตุภูมิในประวัติศาสตร์ของเรา ดินแดนนี้เป็นดินแดนที่สูญเสียไปในช่วงที่เกิดความวุ่นวายทางการเมืองในปลายทศวรรษที่ 1980 จนถึงต้นทศวรรษที่ 1990 การคืนดินแดนนี้ไม่ใช่อาชญากรรมและน้อยกว่าการรวมเยอรมนีตะวันออก (GDR) โดยประเทศเยอรมนีตะวันตก (FRG) ในปี 1990 ในความเป็นจริงไม่มีการรวมเยอรมนีและการทำประชามติ ไม่มีการร่างรัฐธรรมนูญร่วมกัน ไม่มีการจัดตั้งกองทัพและสกุลเงินเดียวกัน ในสมัยนั้นมีใครบ้างที่ออกมาประณามการเรียกร้องดินแดนคืน แล้วมันขัดต่อหลักการการห้ามละเมิดพรมแดนที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติเฮลซิงกิฉบับสุดท้ายปี 2518 หรือไม่ โลกได้แต่ปรบมือให้ แล้วพลเมืองปรารถนาความสามัคคีแบบนี้หรือในความเป็นจริงถูกบีบให้ปรารถนาความสามัคคีนี้ ภาษาของเยอรมันตะวันตกและตะวันออกในช่วง 45 ปี หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นมีความแตกต่างทางภาษาเกือบเท่าๆ กับปัจจุบันของจีนและไต้หวันหรือประมาณผู้ที่อยู่อาศัยในภูมิภาคสมอเลนสค์และดนีเปอร์ มันเป็นความแตกต่างที่เหมาะสม ไม่ได้มีใครต้องอับอายอะไร ชาวรัสเซียมีความแตกต่างจากยูเครนที่ไม่ต่างจากชาวโปแลนด์กับชาวโปเมอเรเนียน หรือชาวนอร์ทไรน์-เวสต์ฟาเลียกับชาวทูรินเจีย ยังมีความแตกต่างที่มีนัยสำคัญระหว่างชาวชเลสวิก-โฮลชไตน์และบาวาเรียในเยอรมนี นอร์มังดีและอ็อกซิตาเนียในฝรั่งเศส ไม่ต้องพูดถึงแคว้นบาสก์และคาตาลันในสเปน รวมทั้งอังกฤษและไอร์แลนด์เหนือในสหราชอาณาจักร จะพบว่ามีความแตกต่างทางด้านภาษา ชาติพันธุ์และวัฒนธรรมมากกว่าชาวปัสคอฟและคาร์คิฟ

บทสรุปที่สำคัญในประเด็นต่างๆ

การอธิบายข้างต้นได้ช่วยให้เราสามารถทำการสรุปเนื้อหาได้บางส่วนระหว่างความแตกต่างของระหว่างอัตลักษณ์ประจำชาติและทางเลือกทางการเมือง บทสรุปเหล่านี้ค่อนข้างมีความชัดเจนในตัวเอง

1.       หลักการของอารยธรรมตะวันตกคือ การแบ่งแยกและปกครองนั้นส่งผลให้เกิดความทุกข์ยากลำบากอย่างไม่รู้จบไปทั่วโลก แนวคิดนี้ได้สร้างความขัดแย้งทางด้านชาติพันธุ์และสังคมวัฒนธรรมขึ้นมากมาย ตลอดจนความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจอีกมาก สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นในอดีตและยังคงเป็นเช่นเดิมในปัจจุบัน

2.       การยุยงให้เกิดความแตกแยกระหว่างชาติพันธุ์และเชื้อชาติเป็นการสร้างอัตลักษณ์ปลอมๆ ในกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งมุ่งหวังให้เกิดความแตกแยกระหว่างประชากรที่ก่อตั้งรัฐ นี่เป็นสิ่งที่รัฐบาลวอชิงตันและกลุ่มพันธมิตรตะวันตกได้พยายามกระทำกับรัสเซียและจีน รวมถึงประเทศอื่นๆ อีกมากมาย ไต้หวันเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของจีน การที่อีกฝ่ายพยายามจะสร้างรัฐ สัญชาติ และภาษาของไต้หวันขึ้นมานั้นเป็นสิ่งที่ประดิษฐ์ขึ้นและไม่สามารถจะดำเนินต่อไปได้

3.       ในปัจจุบันนี้ยูเครนกำลังอยู่บนทางแยก จะร่วมกับรัสเซียหรือจะหายไปจากแผนที่โลกเลย พวกเขาไม่จำเป็นต้องเสียสละร่างกายและจิตวิญญาณเพื่ออิสรภาพและควรหยุดความภูมิใจปลอมๆ จากการต่อต้านรัสเซีย บทบาทของรัสเซียคือการช่วยเหลือชาวเมืองมาโลรอสเซียและโนโวรอสเซีย ขณะเดียวกันก็ต้องปลูกฝังจิตสำนึกสาธารณะว่ารัสเซียมีความสำคัญต่อยูเครนในด้านวัฒนธรรม ภาษาและการเมือง หากยูเครนยังคงต่อต้านรัสเซียต่อไปก็มีความเสี่ยงที่จะหายไปจากแผนที่โลกตลอดไป เช่นเดียวกับรัฐแมนจูกัวที่สร้างขึ้นโดยญี่ปุ่นขณะที่มีอำนาจทางทหารในประเทศจีน

4.       กาลิเซียและโวลฮิเนียเป็นที่ตั้งหลักของลัทธิทางการเมืองของยูเครน เคยเป็นที่หลบภัยของกองกำลังทางสังคม เคยตกอยู่ภายใต้การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 หากสังเกตความกลัวรัสเซียของภูมิภาคนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 20 นั้นควรมองอย่างเป็นกลาง

5.       ทั้งรัสเซียและยูเครนต่างเป็นคนกลุ่มเดียวกัน การที่ต้องการสร้างความแตกแยกระหว่างเรานั้นไม่มีเหตุผลใดๆ และเป็นแนวคิดที่มีลักษณะอาชญากรรม พวกกลุ่มของวีกอฟสกี้, มาเซปา, สโกโรปาดสกี้ และบันเดรา ในยุคต่างๆ นั้นต่างก็พบว่าตัวเองต้องเผชิญหน้ากับรัสเซีย ตอนนี้คงไม่ได้มีอะไรต่างกัน